อีกไกลไหม ใกล้ถึงยัง!
คำถามเดียว ที่สงสัยและถามไปตลอดทาง ระหว่างเดินขึ้น ดอยมณฑา จ.ตาก
และคำตอบที่ได้มีทั้ง ใกล้แล้วๆ ถึงครึ่งทางแล้ว
แต่ความจริงนะหรอ แบกกระเป๋า ก้าวขาเดินขึ้นเขากันอีกยาว ขอย้ำ! ว่า เขา จริงๆ ไม่ใช่แค่ เนิน นะคะ
เคยนั่งเปิดหาที่เที่ยวตามเว็บ แล้วเกิดสะดุดตากับชื่อ
ดอยมณฑา ที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช อ.แม่สอด จ.ตาก
พอดูไปดูมา เออ!มันน่าไปอ่ะ และกำลังจะกลายเป็น ที่ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดตาก
อยากเที่ยว ก็ต้องได้เที่ยว สุดท้ายรู้ตัวอีกทีทริป ดอยมณฑา 2 วัน 1 คืน ราคา 2,900 บาท มาถึงซะแล้ว
ทริปนี้เราไปแบบไม่ต้องลางาน แค่เย็นวันศุกร์ พอเลิกงานเสร็จ ก็แบกกระเป๋าขึ้นรถเที่ยวต่อได้เลย
หลังจากสมาชิกทริป ดอยมณฑา ทั้ง 8 คน มาถึงจุดนัดหมายที่ Big C สะพานควาย
ก็นั่งรถตู้ออกเดินทางจากกรุงเทพ กันตอน 2 ทุ่มนิดๆ และมาถึง อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ราวตี 3
ก็ช่วยกันปูที่นอนแบบง่ายๆ เก็บแรงไว้เดินขึ้น ดอยมณฑา
หลังเปลี่ยนชุด กินข้าวเช้า กันเรียบร้อยก็นั่งรถตู้ไป บ้านปูแป้
ระหว่างทางก็เพลินตาด้วย ทุ่งนา สลับกับ สวนผัก ไร่ข้าวโพด ของชาวบ้าน
และวิวภูเขา ให้เดากันเล่นๆว่า ยอดไหน เป็น ดอยมณฑา ของเรา
มาถึง บ้านปูแป้ กันตอน 10 โมง ก็กระโดดขึ้น อัดปลากระป๋อง ทั้งคน ทั้งกระเป๋า กันบนรถอีแต๊กไปที่จุดเริ่มเดินเท้า
สภาพทางก็วิ่งไปตามไร่ข้าวโพด เป็นหลุม เป็นบ่อ ก็เป็นเรื่องปกติ
นั่งชิลล์ๆกันไปสักพัก พอถึงช่วงที่รถอีแต๊กต้องวิ่งผ่านทางน้ำ
งานเข้า รถดันติดหล่ม ทุกคนเลยต้องลงเดิน ปล่อยให้กระเป๋านั่งรถอีแต๊กไปแทน
ส่วนคนก็เดินลัดตัดทาง ไปตามไร่ข้าวโพด และนาข้าวที่กำลังออกรวง เดินกันไปเรื่อยๆไม่รีบ แวะถ่ายรูปไปพลางๆ
Advertisement
พอได้กระเป๋า ก็ไม่รอช้า ลุยกันเลย! ดอยมณฑา รอเราอยู่
จุดแรกก็เดินผ่านทางน้ำ แต่ยังไม่อยากเปียกกันตั้งแต่เริ่มเดิน ก็เลยพยายามหามุมไม่ให้โดนน้ำ
ทั้งเดินอ้อม เดินบนหิน กระโดดข้ามน้ำกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องเดินลุยกันอยู่ดี เดินหลบกันยังไงก็ไม่รอด
ช่วงแรกๆ ก็เดินสบายๆ ลุยทางน้ำกัน พอให้รองเท้าเปียก สลับกับขึ้นเนินผ่านทุ่งนา ไร่ข้าวโพด กาแฟ ของชาวบ้าน
ก่อนสองข้างทางจะเริ่มเปลี่ยนเป็นป่า ต้องลุยธารน้ำตก ปีนโขดหิน กันยาวๆ
โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ 2 คน เป็นทั้ง ลูกหาบแบกของส่วนกลาง และ ไกด์นำทาง รับไม่หลงแน่นอน
ระหว่างทางผ่านน้ำตก ให้หยุดพักหายเหนื่อย แต่น้ำแอบขุ่นไปหน่อย เพราะฝนตกมาก่อนหน้านี้
ขณะตอนเดิน บางช่วงก็ยังมีตกๆหยุดๆ ให้เปียกกันตั้งแต่หัว ยัน เท้า
เดินลุยน้ำตก ปีนโขดหิน บางช่วงก็ต้องลัดขึ้นริมตลิ่ง ราวชั่วโมง ก็เปลี่ยนมาเดินขึ้นเขากันแบบจริงๆ
แค่เขาลูกแรกก็ทำเอาหมดแรง ไปความชันชนิด ไม่เจอทางราบให้เดินกันสบายๆ เหมือนช่วงแรก
หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียง ไม่ได้ตื่นเต้น หรือ เจอผู้ชายหล่อๆ กลางป่า หรอก แค่เหนื่อยจนหายใจไม่ทัน
อาจเพราะเดินทางราบ แล้วอยู่ๆมาตัดขึ้นเขาแบบไม่ทันตั้งตัว บวกกับเร่งเดิน เพราะเกรงใจคนข้างหลังที่เดินตามมา
สุดท้ายไม่รอด ต้องหลบข้างทาง ใครเดินไหวไปก่อนเลย ไม่ไหวแล้วค่ะ ขอพักหายใจแพร๊บบบบ
ไม้เท้าที่ดูเกะกะ เป็นภาระ มาถึงตอนนี้เริ่มได้ใช้งาน ช่วยพยุงลากสังขารขึ้นเขา
ตัวที่เคยเปียกฝน ตอนนี้เริ่มเปียกเหงื่อแทน เดินกันจนแทบหมดแรงก็ยังไม่ถึงยอดสักที
ก็เลยหาที่นั่งกินข้าวห่อ เต็มพลังมันซะเลย
เดิน แล้วก็เดิน แต่ก็ยังไร้วี่แววของยอดเขา ดอยมณฑา เจอแต่ขี้วัวทั้งของใหม่ ของเก่า ไปตลอดทาง
เดินมาเรื่อยๆก็สวนกับฝูงวัว เลยจ้องตา ส่งกระแสจิต อย่าเพิ่งลงมานะเว้ย!
เหมือนมันจะรู้เรื่องนะ หยุดให้เราเดินสวนผ่านขึ้นไป ก่อนมันก็ค่อยๆวิ่งสไลด์ลงเขา
เห็นแล้วยอมใจอ่ะ คือข้างล่างไม่หญ้าจะกินกันแล้วใช่มะ เลยต้องขึ้นมาข้างบน
แต่ที่สงสัยคือ มันขึ้นมาทางไหน จากสภาพคือคงไม่เดินลุยน้ำตก ปีนโขดหิน มาแบบเราแน่ๆ
พอยิ่งเดินสูงขึ้น ป่าทึบ ที่มีต้นไม้สูงช่วยบังแดด ก็เริ่มลดลง วิวภูเขาเริ่มชัดขึ้นแทน
ดูแล้วก็จับทิศ จับทางไม่ถูก ว่าเดินกันมาจากตรงไหนของป่าด้านล่าง
เจอแล้วยอด! จุดพีคสุดของ ดอยมณฑา เลยล่ะ ไอ้ที่เดินบ่นมาตลอดทางว่าชันเนี่ยดูเด็กๆไปเลย
เนินมรณะ ภูสอยดาว ที่ว่าแน่ ดูเดินสบาย เมื่อเจอทางขึ้น 2 ยอดนี้เข้าไป ต้องร้องเฮ้ย! จะปีนขึ้นกันไป ท่าไหน ยังไงว่ะเนี่ย
สุดท้ายก็ต้องทั้งเดิน ทั้งปีน ทั้งคลาน กันไป
โดยทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต้องเดินบนสันเขา ค่อยๆคลานกันไป
เหนื่อยก็พักหันหลังกลับมาดูวิวจะได้เป็นกำลังใจให้เดินต่อ
ใกล้แล้วโว้ย! ยอดอยู่ข้างบนนั้นไง เราก็ใส่แรงฮึดสุดท้าย เร่งเดินเพื่อจะได้ถึงยอด
แต่เปล่าเลย พอขึ้นไปถึงยอด ต้องเดินต่อไปยัง จุดกางเต็นท์ นะจ๊ะ
อ้าวเฮ้ย! ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่าเลยว่ามัน โคตรเหนื่อย ขาแม่งล้า ไม่อยากเดินแล้ว อยากทิ้งตัวลงนอนมันตรงนี่
ไม่อยากเดิน ก็ต้องเดิน เพราะมันยังไม่ถึงไง ก็ขาลากไปต่อเลยค่ะ
ซึ่งก็ดีหน่อยพอหลุดจาก 2 ยอด นรก มาได้ ทางที่เหลือก็เดินได้เรื่อยๆ ลัดตามไหล่เขา
มีวิวภูเขาทอดตัวสลับกันไปมา เห็นแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะลากขาขึ้นกันมาได้ถึงข้างบน
ถึงแล้ววววววววโว้ย จุดกางเต็นท์ บน ดอยมณฑา หลังจากออกเดินกันมาตั้งแต่ 10 โมงเช้า
เราก็ถึงกันตอน 4 โมงเย็น เดินกันขาลาก 6 ชั่วโมง ระยะทาง 10 กม.นิดๆ
สำหรับจุดกางเต็นท์ ใครอยากได้มุมไหนก็เลือกตามใจชอบ เพราะวันนี้บน ดอยมณฑา มีแค่กลุ่มของเรา 8 คนเท่านั้น
หลังกางเต็นท์กันเสร็จ เดินมาที่ จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก
ซึ่งเค้าก็ไม่ได้มีป้ายอะไรปักบอกหรอกว่าเป็น จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก
เพียงแค่เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เห็นวิวภูเขา วิวเมือง ที่อยู่ด้านล่าง ทำให้เห็น พระอาทิตย์ตก ได้สวยงาม
ระหว่างรอ พระอาทิตย์ตก ก็ถ่ายดอกหญ้า ดอกหญ้า บน ดอยมณฑา ไปพลางๆ
พออากาศข้างบน ดอยมณฑา เริ่มเย็นลง ทะเลหมอกก็เริ่มพัดผ่านคลุมยอดเขา
จะถ่ายรูป เช็คอิน ก็สะดวก สัญญาณมือถือ และอินเตอร์เน็ต ใช้ได้ นะคะ
มื้อเย็นบน ดอยมณฑา เป็นเมนูง่ายๆ อร่อย ที่พวกเราช่วยกันหยิบจับ หั่นผัก ทำกับข้าว จัดใส่จาน
กินกันไป คุยกันไป ก็สนุกดีนะ กินข้าวเสร็จฟ้าเริ่มมืด ก็เอาแผ่นรองนั่ง มาปูดูทางช้างเผือกกัน
อาจเพราะเป็นคืนเดือนมืด และอยู่บนที่สูง ทำให้เห็นทางช้างเผือกชัดเจน
บวกกับอากาศหนาวๆ บน ดอยมณฑา การได้นั่งมืดๆ ดูดาว ดูทางช้างเผือก มันเลยเป็นค่ำคืนพิเศษจริงๆ
เลยเข้าใจว่าทำไมเมื่อตอนกลางวันต้องเดินกันขาลาก ก็เพราะจะได้มาเจอสิ่งสวยงามแบบนี้ นี่เอง
ตื่นเช้า เปิดเต็นท์มา เจอไอหมอกมาเต็มเลยจ้า แต่ฟุ้งแบบนี้ ก็เลยอดเห็นทะเลหมอก
ป่ามหัศจรรย์ บน ดอยมณฑา เพราะด้วยรูปร่างของต้นไม้ และสายหมอกที่ปกคลุม เราเลยตั้งชื่อกันว่า ป่ามหัศจรรย์
จุดที่ทุกคนได้ทำธุระส่วนตัวกันบนนี้ หรือเอาแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ห้องน้ำ แบบโอเพ่นแอร์
ส่วนใครอยากอาบน้ำ ทำได้มากสุด ก็ ล้างหน้า แปรงฟัน เพราะแหล่งน้ำบน ดอยมณฑา จะใช้สำหรับดื่มกิน เป็นหลัก
กอ่งไฟ กองเดียวใช้ประโยชน์ได้คุ้มมาก ทั้งปิ้งขนมปัง ตากผ้า และแก้หนาว
9 โมงเช้า กินข้าวกันเสร็จ ก็เก็บเต็นท์ เก็บของ แล้วออกเดินทาง โดยเส้นทางจะลงคนละเส้นจากตอนเดินขึ้นเมื่อวาน
จากจุดกางเต็นท์ ผ่านป่ามหัศจรรย์ แหล่งน้ำที่เราใช้บนดอย ป่าไผ่ ป่าปรง โดยเส้นทางจะเป็นค่อยๆลงเนินไปเรื่อยๆ
แต่บางช่วงให้เดินเรื่อยๆ ก็ไม่ไหว เพราะมันทั้งชัน และลื่น จนต้องคอยพยุงกันลงมา
ส่วนเราเองก็ต้องนั่งแล้วไถลตูดลงมา สไลด์เปิดทางใหม่ไว้เพียบ
เดินลงเนินมหาโหด สไลด์ทาง มากันสัก 1 ชม.ก็ตัดเข้าเส้นน้ำตก ให้ปีนโขดหินกันต่อ
น้ำตกระหว่างทาง ให้เราหยุดแวะนั่งพักเหนื่อย สัมผัสความชุ่มฉ่ำของสายน้ำและความร่มรื่นของผืนป่า
เดินลุยน้ำตก มาสักพัก ก็มาบรรจบกับน้ำตกเส้นทางเดิมที่เราเดินขึ้นกันเมื่อวาน ก็ค่อยๆลากขาเดินบนก้อนหิน
พอมาถึงจุดขึ้นรถอีแต๊ก ถึงขั้นแผ่ตัวนอนเลยจ้า หมดแรง รวมๆแล้วขากลับเราใช้เวลาเดินกันค่อนข้างเร็ว ประมาณ 3 ชม.
ก่อนจะแวะอาบน้ำ ทานข้าว แล้วเดินทางกลับกรุงเทพกัน เพื่อทำงานต่อในวันจันทร์
ทริป ดอยมณฑา ถึงจะเดินเหนื่อย เจอเขาลูกแรก ก็แทบหมดแรง แต่โดยรวมแล้วเราประทับใจนะ
มันเป็นดอยที่มาแล้วได้ครบทุกอย่าง ทั้ง บรรยากาศชุมชน ไร่นาของชาวบ้าน ชุ่มฉ่ำกับน้ำตก
ได้ไปยืนมองพระอาทิตย์ตก และวิวภูเขาที่มองจากบน ดอยมณฑา มันโคตรจะสวยเลย
นั่งรับลมหนาว ดูดาวกับทางช้างเผือก สัมผัสไอหมอกได้ง่ายๆแค่เปิดเต็นท์ก็เจอ
และ 2 ยอดเขาสุดชัน บน ดอยมณฑา ที่จำไม่ลืม!
ขอบคุณมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างทริปนี้
ป๋านิ่ม คลุกฝุ่น สำหรับทริปสนุกๆ และคอยสร้างเสียงหัวเราะ ใครอยากลำบากไปกับป๋า แต่มันเป็นความลำบากที่คุ้มค่านะคะ
พี่แคท ทำให้ตลอด 2 วัน 1 คืน ของเราอิ่มท้อง แม้ขณะนั่งพักนางก็ยังมีลูกอม มะขามกวน มะม่วงกวน มาแจก
พี่พลอย ที่หาทริป ดอยมณฑา มาฝาก
พี่ตา พี่เดินไหว หนูก็ต้องเดินไหวค่ะ
ก๊อตจิ คนบ้า ประจำทริป
น้องฝน จบทริปนี้อยากจะชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ว่ะ คงคุ้มแน่ๆ
น้องแบงค์ เพื่อนน้องฝน ที่ชวนทะเลาะ และกัดกับน้องฝนไปตลอดทาง แต่มันก็สร้างสีสัน และเสียงหัวเราะให้ทุกคนในทริป
Phiyanuch Chaisuwan
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.05 น.