CHAPTER 1 ;https://th.readme.me/p/17705

สวัสดี กัวลาลัมเปอร์ เมื่อรถบัสมาถึงกัวลาลัมเปอร์ ก็เป็นช่วงเวลาประมาณตี5 เกือบๆ 6โมง ผมนั้นได้ขอลงที่สถานี KL sentral 2สาวฝรั่งนั้น ยังคงเดินทางต่อไปที่ท่ารถ ในKL หลังจากลงจากรถ โลกก็เคว้งอีกครั้ง

เพราะไม่มีใครนอกจากยาม ผมก็เดินเข้าไปข้างในสถานี แม่เจ้าาาา !!

มันใหญ่มากอย่างกะสนามบิน มีสายรถไฟเยอะแยะไปหมด เราต้องเดินไปถามที่เคาเตอร์ เค้าก็บอกให้ไปเคาเตอร์นู้นนะครับ พอไปถึงเคาเตอร์นู้น เค้าบอกว่า ถ้าขึ้นKTM ต้องไปอีกเคาเตอร์นึงนะครับ แล้วเค้าก็บอกทางเรามา ตอนนั้น เราคงต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะ เดินไปที่ตู้ขายตั๋วเลย จริงๆไม่ยากนะ

เพียงแต่เราต้องเดินเข้าให้ถูก ซื้อตั๋วให้ถูก แค่นั้นเอง

ก็นั่นแหละที่แม่งงงยาก 555 ก็ได้ตั๋วไปสถานีกัวลาลัมเปอร์ ในราคา1.2 RM ประมาณ 10 บาท

ผมจะบอกว่ารถไฟฟ้าที่นี่ ไม่ได้แพงเวอร์เหมือนเมืองไทยนะครับ

สถานีไกลๆ8-9สถานี ยังแค่20กว่าบาทเอง ประเทศไทยเก็บแพงแล้วก็ควรพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยนะ

รถไฟฟ้าที่นี่มีแบบเป็นที่นั่งมีพนักพิงด้วย

ต้องขึ้นให้ถูกนะครับ ถ้าเป็นเมืองไทย รถมาก็ขึ้นได้เลย แต่มาเลจะมี2ขบวน ต้องดูว่าปลายทางเราจะไปลงที่ไหน รถไฟที่มาจะบอกชัดเจนว่าไปไหน เพียงแต่เราต้องขึ้นให้ถูกแพลตฟอร์ม ขึ้นรถไฟที่นี่ ต้องมีสติมากๆหน่อยเนอะ แต่ถ้าชินแล้วจะสะดวกสบายมาก

ผมแนะนำให้ 1 ดูเป็นสีก่อน ว่าปลายทางเราคือต้องขึ้นรถไฟสายสีอะไร

จากนั้นซื้อตั๋วของสายสีนั้น แล้วก็ลำดับต่อไป คือ2 ต้องขึ้นให้ถูกแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มคือชานชาลาที่เราจะไปยืนรอรถนั่นเอง 3ขึ้นให้ถูกคัน เมื่อเราอยู่ถูกแพลตฟอร์มแล้ว จะมีรถวิ่งมารับเรา ถ้าเป็นประเทศไทยขึ้นได้เลยไม่ต้องคิดอะไร แต่มาเลเซียให้ดูก่อนว่าปลายทางรถไฟจะไปไหน เป็นเส้นทางผ่านจุดหมายของเราหรือเปล่า นี่คือคำแนะนำ

Advertisementshopee

หลังจากถึงสถานีกัวลาลัมเปอร์ ผมก็เดินไปที่โรงแรม เพื่อเอาของไปฝากไว้ก่อน แต่ยังไม่ทำการเช็คอิน

เนื่องจากยังเช้าอยู่ ในคืนนี้ เราเข้าพักกันที่ Hub Travel แพลนในวันนี้คือ เราจะไปปุตราจายา

และบาตู เคฟ และมีตติ้งกับเพื่อนของผมนั่นก็คือฟลุค ที่ล่วงหน้ามากัวลาลัมเปอร์แล้ว

ไม่รอช้าครับ เดินไปที่สถานีรถบัสทันที Persa seni ที่บอกไม่รอช้าคือ จะไปเข้าห้องน้ำครับ 5555

แต่พอเห็นห้องน้ำแล้ว ผมเอาไว้กลับไปเข้าโรงแรมดีกว่า 555

จากนั้นผมอ่านป้ายทันทีว่ารถสายไหนจะไปถึงปุตราจายา นั่นคือสาย500 แต่ แต่ หารถสายนี้ไม่เจอ

เดินหาทั่วแล้วก็ไม่เจอ "และนี่คือการเสียความรู้สึกครั้งแรกของการเดินทางในครั้งนี้"

คือผมเดินไปที่imformation จะขอความช่วยเหลือ เห็นคนขับรถเดินมา เราก็พูดว่า Excuse me

ยังพูดไม่ทันจบ เค้าทำมือว่าไม่ต้องการคุยกับเรา แล้วส่ายหน้า ไม่สนใจ ไม่มองหน้า ไม่พูดสักคำเลย

ไอ้ห่าราก 5555 แต่ยอมรับว่าเสียความรู้สึกที่ เห้ยย นี่กุมาเที่ยวบ้านมึงนะ

ไม่ได้มาขอมึงขึ้นฟรีๆ จากนั้นผมเริ่มเดินหาอีกรอบ ก็ไม่เจออีกอยู่ดี เลยตัดสินใจถามแม่ค้าแถวนั้นว่า

รู้มั๊ยว่ารถสาย500อยู่ตรงไหน เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เออ อันนี้ค่อยเข้าใจได้หน่อยย 555

เข้าใจตรงไหนวะ ?

อยู่ตรงนั้น1ชม. ไม่มีอะไรดีขึ้น ตัดสินใจเปิดผู้ช่วยชีวิตอีกครั้ง กูเกิลแมพ ต้องเดินไปอีก2กิโล

เพื่อไปขึ้นรถสายอื่นแทน บางทีผมก็อยากจะถอยนะ ไม่อยากไปแล้วอะไรแบบนี้

แต่ก็ต้องเข้าใจว่าการเดินทางมันก็แบบนี้แหละ ไม่มีอะไรสบายเสมอไป

ถ้าคุณคิดว่าอันนี้พีคแล้ว ผมบอกเลยว่ายัง !!

ผมขึ้นรถเมล์ 501 ในราคา 4 ริงกิต แต่ทั้งรถ มีแต่คนอินเดียทั้งรถ มีผมเป็นชาวต่างชาติคนเดียว

ด้วยความเหนื่อยเราก็จะหลับ คนข้างหลังสะกิด ถามว่าเรามาจากไหน ต้องบอกเลยคนอินเดียพูดภาษาอังกฤษฟังยากกกกกกกกกกกกเกิ๊นน แม่งพูดอยู่ในลำคอ กุนี่ต้อง ฮะ! ฮะ! ตลอดเรย

ก็คุยรุเรื่องบ้างไม่รุเรื่องบ้าง จับใจความประมานว่า เค้าอยากรู้ว่าทำไมเราถึงอยากไปที่นั่น แล้วก็เค้าอยากเห็นประเทศไทย เค้าขอดูรูปในกล้องด้วย เสร็จแล้วเค้าขอดูธนบัตรของไทย เราก็ควักแบงค์20ให้เค้าดูแล้วบอกว่า เนี่ยพระราชาของประเทศฉันอยู่ในแบงค์ที่คุณถืออยู่ ดูเสร็จเค้าถามว่า

คือกี่ริงกิต เค้าจะขอแลกได้มั๊ย เค้าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก เราเลยบอกว่า เอาไปเลย แต่แลกกับ

ขอถ่ายรูป เพื่อเอาไปรีวิวหน่อย

Advertisement

หลังจากนั่งคุยกัน อีกสักแป๊ป ก็ถึงปุตราจายา แต่มันไม่จอดจร้า แล้วไม่มีกริ่งอะไรให้กดเลย พอไปถึงตึกๆนึง คนอินเดียลงกันหมดรถเลย เราก็ต้องลง เดินย้อนกลับไปอีก4กิโลได้ ตอนเดินไปก็ไม่ได้คิดไร

คิดแค่ว่า เดินชมเมือง ดีกว่าลงตรงจุดหมายแล้วไม่ได้เห็นที่อื่นเลย แต่แดดร้อนเกินบรรยาย

เดินไปเกือบชั่วโมง ก็ถึงมัสยิด สีชมพู

ต้องบอกเลยว่าตอนนั้น แดดร้อนมากมาย คือต่อให้มันสวยแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีอารมณ์จริงๆนะ

เราเลยไม่ได้อยู่นานมาก เพราะต้องกลับไปเชคอินโรงแรมก่อน จากนั้นก็เดินออกไปด้านหน้า

ไม่กลับทางเดิมนะ เดินออกไปรอรถด้านหน้า คือเราเข้าใจว่ารถมันเข้ามาทางนี้ แม่งก็ต้องออกทางนี้ดิวะ

5555 ตรรกะไรของเมิงเนี่ยยย เดินไปอีก ครึ่งกิโล ไปรอที่ป้ายรถเมล์ แล้วก็มีฝรั่งผู้หญิงคนนึง เดินมาเหมือนจะหาที่รอรถเมล์เหมือนกัน แต่เค้าเดินกลับไปที่ปุตราจายาที่เดิม เราคิดในใจ จะเดินย้อนไปให้เหนื่อยทำไม รถก็ต้องออกมาทางเดิมอยู่แล้ว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่มีรถมาสักคัน

แม่ง ซวยๆ คิดในใจ ต้องเดินกลับทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถจุดเดิมจริงๆหรอวะ แต่ตอนนั้นคิดไรไม่ออก + ไม่มีทางเลือกอื่น เลยตัดสินใจไม่รอแล้วเว้ยยย เดินย้อนกลับทางเดิม อีก4.5กิโล โคตรเหนื่อย โคตรร้อน คิดเลย นี่มันคือชีวิตที่เราต้องการหรอวะเนี่ย ในระหว่างเดินกลางแดดร้อนๆ มีรถนำเที่ยว

ที่เป็นทัวร์พานักท่องเที่ยวมา นั่งร้องเพลงบนรถกันสนุกสนาน ตากแอร์มีความสุข พอถึงที่หมายก็เดินลงมาถ่ายรูปชีวิตสุดเพอเฟค 555

ตัดภาพมาที่กุนะ เสื้อเปียก กางเกงในแฉะ เดินกลางแดดร้อนๆนะ แดดส่องหน้านะ ขาตะคริวจะแดกนะ ของก็หนัก มันช่างเลวทรามสิ้นดี 5555 ท่องไว้ ความลำบากจะทำให้เราอดทน

เดินไปก็ปลอบใจตัวเองไป เหมือนเราจะแพ้นะ แต่ไม่จร้าา

เราทำสำเร็จ มาขึ้นจุดเดิม บอกตัวเองว่าเราไม่ตายแล้ว เราคือผู้ชนะที่แท้จริงงงงงเว้ย!!

รีบเดินขึ้นรถสายเดิมที่จอดรออยู่ตรงจุดเดิม แต่อยู่ฝั่งตรงข้ามมม

หลังจากที่รถแล่นออกไป ผมก็ต้องช็อค !! กับสิ่งที่ผมเห็น คือ รถวนกลับมาทางเดิม และผ่านป้ายรถเมล์

ที่ผมยืนรออยู่ เมื่อชั่วโมงที่แล้ววว ผมเหมือนคนที่แพ้ในทันที

เหมือนเรายอมแพ้อะไรไปอย่างง่ายดาย ยอมแพ้การรอคอย แต่อย่างน้อยการที่ผมเดินกลับมามันทำให้ผมเห็นอะไรมากขึ้น ทำให้เห็นว่าการมากับทัวร์แม่งงน่าจะสบายกว่านี้นะ 55555

ขึ้นรถมาก็หลับ ลงรถเสร็จเดินกลับเหมือนเดิมอีก2กิโล ไปเช็คอินที่โรงแรม อาบน้ำ นอนสิ รออะไร

ตื่นขึ้นมาอีกทีบ่าย3โมง ทักหาเพื่อนฟลุคซะหน่อยดีกว่า เรามีมีตติ้งดื่มเบียร์กันตอนเย็น

แต่ดูจร้า ผิดนัดกุเฉยเรย ฟลุค เห้ยยย นายทำแบบนี้กะเราไม่ได้นะ 5555

มันมีนัดสาวว่ะ โถ่วววววว ไอ้บ้าเอ๊ยยยย แต่ไม่เปนไร ผมก็เดินตามทางของผมต่อ

ไปคนเดียวก็ได้ฟระ ไม่รอช้าครับ มุ่งหน้าสู่บาตูเคฟ ไปขึ้นรถไฟฟ้า KTM เหมือนเดิม ไปลงbatu cave สุดสายเลย ราคา 20กว่าบาทเท่านั้น

แต่ เมื่อผมเดินมารอรถไฟฟ้า ก็มีชายคนนึง เข้ามาคุยกับผม



คุณคิดว่าเค้าคือชาติอะไร เค้าคือโรฮิงญานั่นเอง เราเลยคุยกับเค้าแบบตั้งใจหน่อย

เค้าพูดไทยได้นิดหน่อย เพราะเคยอยู่แม่สอดเป็น10ปี เค้าบอกว่าลูกเค้าก็เป็นทหารอยู่ที่ไทยคนนึง

อีกคนเรียนอยู่ที่มาเลเซีย เรียนมหาวิทยาลัย เค้าก็มาอยู่มาเลเซียจนได้สัญชาติเป็นคนมาเลเซียแล้ว

คนโรฮิงญา จริงๆคือคนพม่า ที่ทางการพม่าไม่ต้องการนั่นเอง ไม่ขอพูดเรื่องทางการเมืองเนาะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา เค้าก็ดูเป็นคนดีนะ ดูมีน้ำใจดี บอกเราหมดเลยเรื่องขึ้นรถไฟ ลงสถานีไหน ยังไง

ก็ถือว่าการเดินทางของเรา ย่อมพบปะผู้คนได้ตลอดเวลาเนอะ


ปัจจุบัน เค้าเป็นมีสัญชาติมาเลเซียแล้ว

คุยกันสักพัก ลุงเค้าก็ลงก่อนผม ผมต้องไปลงสุดสายที่ batu cave

มันอลังการมาก

ของจริงอลังการมากนะ ถ่ายรูปมายังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ แต่พอไปสัมผัสจริงๆ

มนุษย์เป็นเพียงฝุ่นละอองของธรรมชาติไปเลย

มันยิ่งใหญ่จริง ธรรมชาตินี่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิดเยอะเลย ปกติผมเป็นคนกลัวถ้ำ แต่วันนี้ผมจะเข้าไปในถ้ำจนสุด เดินขึ้นบันไดไป แค่นี้จิ๊บๆ

เดินขึ้นไปให้สุด ชันสุดๆเหมือนกัน

ภายในถ้ำ ยิ่งใหญ่มาก

มันสวยมาก ถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวยเท่าตาเราเห็น ความรู้สึกเหมือนตอนไปที่วังเวียงเลย

วังเวียงก็สวย แบบถ่ายรูปยังไง ก็ไม่สวยเท่าของจริง

แต่ข้อเสียสำหรับผมคือ เค้าพยายามเข้ามาสร้างวัตถุภายในธรรมชาติ แทนที่จะปล่อยด้านในให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เรากลับมาสร้างความสบายให้กับผู้คน สร้างภายนอกผมไม่ติดใจอะไร แต่ด้านในผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่ ความสวยงามที่มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มันย่อมเข้าถึงความรู้สึกจริงๆ

ที่เราต้องการออกไปสัมผัสมากกว่า อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ทั้งๆที่เราเป็นแค่เศษธรรมชาติเท่านั้น

twin tower


จากนั้น กลับจากbatu cave มา ลงที่KL sentral ราคาตั๋ว 20กว่าบาท ถูกจริงๆ แล้วเปลี่ยนสายไปขึ้นสายสีแดง ไปKLCC เพื่อไปดู petronas twin tower ตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ใจกลางมาเลเซีย


ค่าตั๋วแค่ 10บาทเท่านั้น เมื่อเราจากสถานี แค่ดูป้ายอย่างเดียว พอออกจากตึกมาก็เจอวิวแบบนี้เลย

ตอนที่ผมเคยเห็นในรูป มันก็แค่ตึกป่าววะ กรุงเทพก็มีให้ดู จะแห่ไปดูถึงมาเลทำไม คือผมแค่กะมาดูให้รู้ว่ามันเป็นอย่างที่เราคิดรึป่าว แต่ความจริงป่าวเรยย มันสวยจริงๆ มันสวยเนื่องจากเค้าจัดareaได้แบบ เป็นแลนด์มาร์กจริงๆ กรุงเทพมีตึกสูงเยอะก็จริง แต่คุณลองสังเกตดูว่า แทบจะไม่มีพื้นที่ไหนเลยที่สามารถมองตึกแบบเต็มๆได้ซักตึก สร้างทับกันมั่วซั่วไปหมด แต่ที่นี่สร้างตึกสูงให้เป็นแลนด์มาร์ก และมีพื้นที่ให้คนนั่งดูตั้งแต่โคนตึก พุ่งขึ้นไปยังยอดตึกได้ กรุงเทพไม่มีอะไรแบบนี้ไง

ผมว่าเค้าฉลาดนะ ยอมเสียพื้นที่ด้านหน้า ซึ่งกว้างมากเพื่อให้คนได้มาถ่ายรูป ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมาเลเซีย แทนที่เค้าจะนำมาสร้างตึกได้อีก1-2 ตึก ถ้าเป็นกรุงเทพ ป่านนี้คงขึ้นเป็นตึกไปเรียบร้อยละ นี่คือข้อแตกต่างชัดเจน

(เพิ่มเติม) คือผมลืมพูดไปเรื่องนึง ก็คือเรื่องการถ่ายรูปหน้าตึกปีโตรนาส จะมีธุรกิจนึง คือธุรกิจขายเลนส์wideให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป มีเยอะมาก แต่มีคนนึง เค้าเอาเลนส์มาเสนอขายให้ผม แต่ผมไม่เอา

เค้าเลยบอกว่างั้นผมให้คุณยืมถ่ายรูปฟรี ผมก็ไม่เอาอีก คือกลัวโดนหลอกไง

แต่หลังจากนั้นเค้าก็ไปคุยกับฝรั่ง ซึ่งเค้าก็ไม่ซื้อแต่เค้าขอยืมถ่ายรูปฟรี แถมถ่ายรูปให้อีก ฟรีด้วย

ผมเริ่มเห็นความมีน้ำใจจากเด็กขายเลนส์ละ ไปไหนก็ไม่มีใครซื้อ แต่ขยันพูดมาก คือจริงๆเราไม่ซื้อของเค้า ก็อย่ามองว่าเค้าจะมาโกงเรานะครับ โลกมันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น จากนั้น ผมกะว่าจะให้เค้าถ่ายรูปให้ผม แล้วผมจะให้เป็นทิปให้เค้าไปแทน จากนั้นเค้าเดินมาหาผมอีกครั้ง ผมเรยบอกว่าคุณช่วยถ่ายรูปให้ผมหน่อย ก็ได้รูปปกมาอย่างที่เห็น เค้าก็คืนโทรศัพท์ให้ผม และเค้าก็เดินไปเลยย ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณ และควักเงินเลย พอดูเงินในกระเป๋า ไม่มีแบงค์ย่อยเลย แถวนั้นก็ไม่มีร้านค้า ก็เลยคิดว่าไม่เปนไรหรอก เค้าก็คงไม่คิดอะไร ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น แต่พอกลับมานอนที่ห้อง เราน่าจะทำอะไรที่มันดีกว่านี้ อย่างน้อยเราน่าจะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาบ้าง กลายเป็นว่ามีเรื่องติดค้างอยู่ในใจ

และสัญญาว่าถ้าไปอีกหรือไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ผมจะไปซื้อของๆเค้าเลย มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมเค้าก็เหมือนเพื่อนที่อยู่บนทางเดินของผมเช่นกัน และผมจำหน้าเค้าได้ดี

หลังจากนั่งดูตึกสักพัก ก็มีฝรั่งพยายามถ่ายรูปตัวเองโดยตั้งกล้องไว้กับพื้นข้างๆผม ครั้งแรกไม่ดี เค้าเดินมากดถ่ายใหม่ ครั้งที่2เค้ากะลังจะเดินมากดถ่ายใหม่ ผมถามเลย มีอะไรให้ผมช่วยมั๊ย เค้าบอกโอ้ thank you my friend . ผมก็ถ่ายให้เค้าไปรูปนึง เค้าดูรูปแล้วบอก beautiful picture thank you very much เค้าก็ขอจับมมือ แล้วก็เดินออกไปจากตรงนั้นเลย ผมก็กลับมานั่งคิดนะ ว่าการช่วยเหลือบางทีเราไม่จำเป็นต้องมีมาก ถ้าเรามีใจที่จะช่วย ต่อให้เราไม่มีอะไรเลย เราก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้

จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่การที่เราช่วยให้เขา รู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่มันอาจจะดีกว่าที่เราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆที่เราสามารถช่วยเหลือเค้าได้

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เดินเล่นในห้างsuria ซักชั่วโมงนึง ออกไปฟังคอนเสิร์ตตรงรถไฟฟ้าใต้ดินอีก ครึ่งชั่วโมง คนมาเลร้องเพลงเพราะมาก เพลงมาเลก็เพราะมากเช่นกัน ฟังไม่รุเรื่องแต่ทำนองเพราะดี

นั่งฟังตรงบันไดเพลินเรย ผมว่าการเที่ยวจริงๆ ไม่ใช่การเที่ยวที่จุดหมายปลายทางแล้วจบอ่ะ

แต่มันอยู่ระหว่างทางว่าเราสามารถใช้ชีวิตกับทุกๆช่วงเวลาที่ผ่านไปให้มันมีความสุข

และมีค่าในความทรงจำของเรามากที่สุดได้ยังไงมากกว่า นี่คือการเดินทางของผม

ผมเน้นความสุข ในทุกช่วงเวลาเป็นสำคัญ

การที่ผมมานั่งฟังเพลง ในขณะที่คนอื่นเร่งรีบไปนู่นไปนี่ ผมถือว่าที่ตรงนี้คือความสุข

เราฟังแล้วรู้สึกดี เราก็หยุดฟัง ชีวิตมันง่ายมากกก และชิวมากกกก

เมื่อฟังครึ่งอัลบั้ม ก็ได้เวลากลับ

ผัดจีน

กลับมาถึงกัวลาลัมเปอร์ ผมเดินมาไชน่าทาวน์ทันที หาของกิน ผมบอกป้าเอาแบบนี้จานนึง ชี้ไปที่รูป

ป้าถามเอาสไปซี่มั๊ย ผมบอกเอา เวรี่ สไปซี่ เรยครับป้า

และนี่คือหน้าตา เวรี่ สไปซี่ ของป้าแก 555555 ไม่ได้สัมผัสถึงความสไปซี่ซักนิดเดียวเรยนะป้า

สั่งน้ำมะนาว แต่น้ำมะนาวแม่งเปรี้ยวได้ใจจริงๆ ก็เล่นไม่ผสมอะไรเรยจร้า

กินไป หันไปเห็นป้ายTHAI FOOD กุนี่ทิ้งช้อนเลย เดินไปถามเลย ผัดกระเพราาเท่าไหร่เจ๊

ตอบกลับมา 15 ริงกิต เอิ่มมมม อาหารชาติกุเองง เอามาขายแพงขนาดนี้เลยหรอวะ

ตัดสินใจอยู่นาน กลับไปกิน กรุงเทพก็ได้วะ ถ้าจะแพงขนาดนี้

แต่ก็แอบเคืองอยู่นะ แม่งเอาอาหารชาติกุมาขายแท้ๆ ทำอร่อยรึป่าวก็ไม่รุ เสือกขายซะแพงเรย

ประเด็นกลัวสั่งมาแล้ว เจอแบบผัดจีนสไปซี่นี่แหละ 5555

ถามจริงคนจีนเค้าคิดจะใส่กันบ้างมั๊ยเนี่ย เครื่องปรุงอ่ะ

อิ่ม !!กลับห้อง อาบน้ำ นอนนนนน

อาหารเช้าที่ดาดฟ้า

วิว อาหารเช้า

โต๊ะทานอาหารเช้า

ตื่นเช้ามาก็ขึ้นไปจัดการอาหารเช้าบนดาดฟ้าทันที วิวดีไม่เลว แต่กินอาหารเช้าที่มาเลคุณต้องล้างเองนะ คนไทยติดนิสัย กินแล้วไม่เก็บเอง ซึ่งต่างจากฝรั่ง เวลาไปพักโรงแรม กินเสร็จแล้วต้องล้างเอง

จากนั้นเก็บของ รีบนั่งรถไฟฟ้าออกไปที่สถานี TBS ทันที เพื่อต่อรถบัส ไปที่ประเทศสิงคโปร์

สถานีรถบัส TBS

ภายในสถานี

อย่างกะนั่งเครื่องบิน

ต่อคิวซื้อตั๋ว

และนี่คือปัญหาอีกครั้งนึง คือเราบอกกะคนขายตั๋วว่าเราจะไป สิงคโปร์ คอสเวย์ ซึ่งเค้าไม่เข้าใจ

ผมว่าผมก็บอกนะ ว่าจะไปสิงคโปร์ ทีนี้เค้าถามว่า คุณจะดรอปมั๊ย ตอนนั้นฟังไม่ค่อยรุเรื่อง เราก็บอกyes

เค้ากดเป็นตั๋ว ไปพักรถที่รัฐยะโฮห์มาให้ เราบอกไมใช่ละ เราจะไปสิงคโปร์

เค้าก็งง เค้าเลยถามว่าวู๊ดแลนด์หรอ ผมก็บอกใช่ๆวู๊ดแลนด์ๆ คืออันนี้เป็นความผิดผมเอง

คือไปสิงคโปร์ ไปได้หลายวิธี คือต่อเดียวถึงเลย หรือไปต่อรถที่รัฐยะโฮห์ ซึ่งเราต้องบอกให้ชัดเจนว่า

เราจะไปลงสถานีที่ไหน ไม่ใช่บอกชื่อประเทศ เพราะเค้าออกตั๋วให้ไม่ถูก อันนี้ฝากเตือนทุกคนที่จะไปเองกันเนาะ สื่อสารภาษาอังกฤษบางทีอาจจะเข้าใจผิดกันได้

ตั๋วรถไปสิงคโปร์

แต่ขึ้นรถที่นี่ ต้องรอให้ใกล้ถึงเวลาก่อนนะครับ ถึงจะเข้าไปในตัวชานชาลาได้

ก่อนเข้าตัวรถ

และเมื่อไปถึงชานชาลา หรือ gate แล้ว ให้รอเวลา เค้าจะเรียกชื่อสายรถที่จะไป รอฟังดีๆ

ถ้าไม่แน่ใจ ให้ถามได้เลยว่าถึงคิวหรือยัง เพราะที่นี่ไม่ได้ขึ้นรถมั่วซั่วเหมือนไทย

เค้าจะค่อยๆปล่อยทีละคันๆ

ขึ้นรถ go to singapore

เมื่อขึ้นรถได้ ก็รอให้รถเคลื่อนที่เพื่อข้ามฝั่งไปประเทศสิงคโปร์กันนน แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ

55555

แต่บอกเลยว่าความตื่นเต้น อยู่ที่ ตม.ประเทศสิงคโปร์ นี่แหละ

ติดตามได้ ใน CHAPTER.3 CHAPTERสุดท้าย ของทริปนี้นะครับ

ฝากติดตามเพจการเดินทางของผมด้วยนะครับ การเดินทางของผมจะไม่ค่อยได้รีวิวเรื่องราคาหรือสถานที่มากนักนะครับ เพราะนี่คือการเดินทางในแบบของผม ต้องการมาเล่าประสบการณืที่พบเจอจริงๆ

ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็คือไม่ดี รู้สึกยังไงก็อธิบายแบบนั้น 5555

https://www.facebook.com/Onelife1992/

ความคิดเห็น